เคยได้ยินหลายๆ คนเค้าพูดกันไหมครับ ว่า คำพูดของเรา คือตัวกำหนดทุกสิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นและเป็นไปได้จริงในอนาคตล้วนแล้วแต่เกิดจากคำพูดของเราโดยทั้งสิ้น และในประโยคที่เราพูดหรือเราคิดเหล่านั้น มีบางอย่างซ่อนอยู่ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ ที่สามารถเปลี่ยนทั้งคำพูด และความคิด และในที่สุดมันก็จะเปลี่ยนผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน นั้นคือ คำว่า “แต่” และคำว่า “และ”
คุณยังไม่ต้องเชื่อผมหรอกครับ แต่พอคุณได้ไปทดลองใช้เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองดู คุณจะพบเองว่ามันทรงพลังอย่างไร
ทั้งสองคำนี้แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงคำเชื่อมประโยคในภาษาไทยนั้นเอง แต่หลายๆคนกลับมองไม่ออกและไม่สามารถแยกแยะข้อมูลในประโยคที่คิดขึ้นมาได้อย่างแท้จริง เราลองมาดูตัวอย่างซัก 1 ประโยคดูนะครับ
“ฉันอยากทำธุรกิจแต่ฉันไม่มีเงิน”
คุณสังเกตอะไรบ้างในประโยคนี้ครับ การไม่มีเงินของคุณมันเป็นตัวหยุดยั้งการเปิดธุรกิจใหม่ของคุณ ถูกไหมครับ
คุณไม่มีเงินเลย คุณจะทำธุรกิจได้ยังไง ช่วยบอกฉันหน่อย เสียงในหัวคุณขึ้นมาแบบนี้ใช่ไหมครับ
งั้นเรามาลองเปลี่ยนประโยคนี้กันใหม่ดูนะครับ
ฉันอยากทำธุรกิจและฉันไม่มีเงิน
คุณสังเกตอะไรบ้างครับ เริ่มเห็นไหมครับว่าจริงๆ แล้วประโยคนี้ประกอบไปด้วย กิจกรรมจำนวน 2 กิจกรรม กิจกรรมที่หนึ่งคือฉันอยากทำธุรกิจ และกิจกรรมที่สองคือ ฉันไม่มีเงิน มาถึงจุดนี้คุณเจออะไรบ้างอย่างรึยังครับ
.
.
.
.
ถูกต้องแล้วครับ กิจกรรม2 กิจกรรมนี้ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันเลย คุณจะทำธุรกิจ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย กับการ ที่คุณไม่มีเงิน การไม่มีเงินมันไม่มีอำนาจมากพอมาหยุดยั้งให้คุณทำธุรกิจจริงไหมครับ เพราะมันเป็นคนละกิจกรรมกันโดยไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันเลย คุณอยากทำธุรกิจ คุณก็เริ่มวางแผนเลยครับ แล้วลุยเลย ส่วนอีกอย่างที่คุณไม่มีเงิน คุณก็หาซิครับมีเงินอยู่ทุกที่บนโลกใบนี้ จริงไหมครับ
อย่าให้คำว่าแต่ มาหยุดยั้งคุณ เวลาคุณต้องการจะทำสิ่งใด จงเปลี่ยนคำว่าแต่เป็นคำว่าและ แล้วเดินต่อไป
แค่ฉุกคิด ชีวิต สำเร็จ