ในบริษัทที่ดี ผู้คนจะสามารถจดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง และมั่นใจว่า ถ้าพวกเขาทำงานของตัวเองได้ดี ก็จะเกิดผลดีต่อทั้งบริษัทและตัวพวกเขาเอง
พวกเค้าจะรู้สึกมีความสุขกับการมาทำงาน ทุกคนจะตื่นเช้ามาโดยตระหนักว่างานที่พวกเขาทำนั้นจะมีประสิทธิภาพ สร้างประโยชน์ รวมถึงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรและตัวพวกเขาเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้งานของพวกเขาน่าตื่นเต้นและน่าพึงพอใจ
ในทางกลับกัน คนที่ทำงานในบริษัทที่แย่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสู้กับข้อจำกัดในองค์กร ผู้มีอำนาจ และกระบวนการที่มีปัญหา พวกเขาไม่รู้แน่ชัดด้วยว่างานของพวกเขาคืออะไร พวกเขาเลยไม่มีทางรู้เลยว่างานของพวกเขานั้นเสร็จรึยัง หากพวกเขาโชคดีพอทำงานสำเร็จที่เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนัก พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าผลของการทุ่มเทนั้น มีความหมายต่อบริษัทหรืออาชีพการทำงานของพวกเขาอย่างไร ที่แย่กว่านั้นก็คือท้ายที่สุดเมื่อพวกเขารวบรวมความกล้าบอกผู้จัดการว่า สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายขนาดไหน ผู้จัดการกลับไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาและบอกว่า “ทุกสิ่งดีอยู่แล้ว”
โดยสรุปแล้วการสื่อสารกับทีมงานโดยตรงและทันทีว่าเราทำงานนี้ เพื่ออะไร ให้ทีมงานได้เห็นภาพชัดว่าทำแล้วจะมีประโยชน์ หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้กับบริษัทเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง และการสื่อสารเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศในที่ทำงาน จากเป็นที่ทำงานที่ดูแย่ไม่น่าอยู่ กลายเป็นที่ทำงานที่น่าอยู่ไปในที่สุด
แค่ฉุกคิด ชีวิต สำเร็จ
อ้างอิงจากหนังสือ The hard thing about the hard things